วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

7 คำถามที่คุณต้องเจอในการสอบสัมภาษณ์






7 คำถามที่คุณต้องเจอในการสอบสัมภาษณ์





หลายคนที่เคยสัมภาษณ์งานต่างๆผ่านมาแล้วอาจเจอคำถามมากมายทั้งกวนประสาทต่างๆนานาน วันนี้ได้หาคำถามที่ใช้ถามตอนสัมภาษณ์มากที่สุดมากฝากน่ะค่ะ  

  ถามข้อมูลส่วนตัว

อันนี้เป็นเรื่องปกติ ธรรมดาสามัญครับ อาจจะให้เราแนะนำตัว ชื่อ นามสกุล จบจากโรงเรียนอะไร เกรดเฉลี่ยเท่าไหร่ ก็ว่าไป ,,, ซึ่งบางคนก็อาจจะข้ามสเตปท์ตรงนี้ไปก็ได้ ถ้าอาจารย์คิดว่าได้ข้อมูลจากเอกสารที่วางอยู่ตรงหน้าอาจารย์พอแล้ว ,,, แต่บางที อาจารย์ก็อยากให้เราแนะนำตัว เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับอาจารย์ เพราะบางคนก็สั่นจนแนะนำตัวเองถูกๆผิดๆก็มี
มีเพื่อนผมคนนึง มันไปสร้างวีรกรรมตอนสอบสัมภาษณ์ไว้อย่างลือเลื่องมาก  ,,, ผมสมติชื่อมันว่า โตแมง ก็แล้วกันนะครับ
โตแมง สอบได้คณะวิทยาศาสตร์ ภาควิชา เคมี ณ มหาลัยในภาคอีสานแห่งหนึ่ง ,,, แต่โตแมง กะว่า ไปสอบสัมภาษณ์ชิวๆขำๆไปงั้นเอง เพราะคิดไว้ในใจแล้วว่า ไม่เลือกที่นั่นแน่ๆ  ,,, พออาจารย์ถามชื่อ โตแมงตอบว่า “อาจารย์ไม่รู้เหรอครับ ว่าผมชื่ออะไร อาจารย์รู้มั้ยว่าผมเป็นใคร” และก็ตามด้วยคำตอบกวนตีนอีกหลายดอก ,,, ผลคือ โตแมง ไม่ผ่านการสอบสัมภาษณ์สมใจอยาก 
,,, ,,, ,,,

1.ถามความมั่นใจ

แน่นอนครับ คำถามบังคับที่ทุกคนจะได้เจอ “ทำไมถึงอยากเรียนสาขา/คณะนี้” ,,,
ถ้าเป็นคนอยากเรียน จริงๆ ก็จะไม่ลำบากใจหน่อย ถ้าเป็นแบบโตแมงข้างบน อยากฮาราคีรีตัวเองก็ไม่ยาก แต่ถ้ายังสองจิตสองใจ อารมณ์ประมาณว่า จะไม่เอาก็เสียดาย จะเก็บไว้ก็คิดหนัก ,,, ก็ให้พยามคิดถึงเหตุผลที่ทำให้อยากเรียนแล้วตอบไปแบบไม่ต้องคิดมากครับ เพราะเขาถามถึงเหตุผลที่อยากเรียน เขาไม่ได้ถามถึงเหตุผลที่จะทำให้ไม่อยากเรียน ,,, แต่จะดีมาก ถ้าเราสามารถตัดสินใจได้ก่อนการไปสัมภาษณ์ เพราะมันจะทำให้เราตอบได้อย่างมั่นใจ และไม่เป็นการตัดโอกาสคนที่เขาอยากเรียนจริงๆ แต่คะแนนสอบอาจจะน้อยกว่าเรา
ถ้ามั่นใจว่าอยาก เรียนจริง แต่เจออาจารย์แอบขู่ เช่น “เรียนยากนะ”, “รีไทร์เยอะนะ”, “รุ่นพี่เธอก็บอกครูแบบนี้” ตอบๆไปเหอะ “มั่นใจครับ/ค่ะ” คนเก่งหรือจะเท่าคนใจสู้ อาจารย์ก็อยากวัดแค่นี้แหละครับ
,,, ,,, ,,,

2.ถามความรู้

คำถามวัดความรู้ แต่ละคนก็จะถูกลองของมากน้อยแตกต่างกัน บางคนก็เจอหนัก บางคนก็เจอเบา บางคนก็เจอคำถามตรงสายเลย บางคนก็เจอความรู้รอบตัว ก็สุดแล้วแต่บุญทำกรรมแต่งครับ (ha) ,,, แต่โปรดเถิดดวงใจ โปรดได้ฟังคำนี้ก่อน ,,, ถ้าไม่รู้เกี่ยวกับคำถาม พลีสเลยครับ กรุณาอย่าดำน้ำ อย่าพยายามเนียนนุ่มกรุ้มกริ่ม อาจารย์ที่อยู่ตรงหน้าเรา เก๋าๆกันทั้งนั้น อย่าคิดว่าจะใส่ตีนกบสคูบ้าดำน้ำ แล้วจะรอด
ตอบถูกในสิ่งที่รู้ และเข้าใจนั่นเป็นเรื่องดีครับ ถ้ารู้ก็ตอบอย่างมั่นใจเลย ,,, ถ้ารู้บ้างไม่รู้บ้าง ก็ตอบเฉพาะส่วนที่รู้ ,,, แต่ถ้าไม่รู้จริงๆ ให้ตอบว่า ไม่ทราบครับ/ค่ะ ,,, การที่เราไม่รู้ ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะถ้ารู้ไปหมด กูจะมาเรียนทำไม?
แต่ก็ควรทำการบ้านมา บ้างเหมือนกันนะจ๊ะ ,,, เพราะถึงไม่รู้ ไม่ใช่เรื่องผิด ,,, แต่ถ้าไม่รู้ไปหมดซะทุกเรื่อง มันก็กะไรอยู่ จริงไหม?
เพื่อน ผมมันมาประจานตัวเองตอนสอบสัมภาษณ์เข้าวิทย์คอม ,,, อาจารย์ถามว่า ที่บ้านใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์อะไรบ้าง ,,, เพื่อนผมมันตอบว่า “ก็ใช้วายแน้ม(Winamp)ฟังเพลงอะค่ะ” (กรุณานึกถึงหน้าคนถาม ตอนเพื่อนผมมันตอบ)
,,, ,,, ,,,

3.ถามจุดแข็ง

อาจารย์แกก็จะดูคะแนน ของเรา ถ้าวิชาไหนเราทำคะแนนได้ดี อาจารย์ก็อาจจะลองเทสท์ดูบ้างว่า เอ๊ ไอ้นี่มันมั่วแม่นรึปล่าว วิธีตอบก็ให้กลับขึ้นไปอ่านข้อที่แล้วครับ
,,, ,,, ,,,
4.ถามจุดอ่อน
บางคนนี่โคตรซวยครับ นอกจากอาจารย์จะไม่ถามจุดแข็งที่คันปากอยากจะตอบจะตายห่าน แต่ยังเสือกถามจี้จุดอ่อนเราอีก ,,,
เวลาโดนจี้จุดอ่อน ก็อย่าประสาทแดกไปครับ ,,, รู้ก็ตอบ ไม่รู้ก็บอก “ไม่ทราบ” จบ! ,,, ตอบไม่ได้ ไม่มีใครเอาM16 มารัวใส่ให้ตายหงส์คาห้องสัมภาษณ์แน่นอนครับ
พออาจารย์แกถามจนสาแก่ใจแกแล้ว ต่อไปก็จะกลับไปที่ข้อ 1. ครับ นั่นก็คือ “ช่วงวัดใจ”
อย่างผมนี่ ตอนม.ปลาย เกรดฟิสิกส์ได้น้อยมาตลอด ,,, คะแนนเอ็นท์วิชาฟิสิกส์ก็ได้น้อย ฟ้องตัวเองอีก ,,, เจอเลยครับ “มีเรียนฟิสิกส์ตั้ง 2 ตัวนะ มีแล็บฟิสิกส์ด้วย จะไหวเหรอ” ,,, เจอลองดีอย่างนี้ เราก็ตอบไปเลยครับว่า “คิดว่าไหว และจะพยายามให้ดีที่สุดครับ/ค่ะ” ,,,
ใน ชีวิตมหาลัย วิชาไหนเราไม่เก่ง มันก็เอาเกรดเอยาก อันนี้พอจะมองภาพออกนะครับ แต่เชื่อผมเหอะ ถึงเราจะเอาเกรดเอในวิชานั้นๆยาก แต่ก็ใช่ว่ามันจะติดเอฟกันง่ายๆ ,,, และผมก็ผ่านฟิสิกส์มาด้วย D+ 2 ตัว (ha)
,,, ,,, ,,,

5.ถามหาพ่อ หาแม่

เอ่อ อันนี้ไม่ได้กวนตีนนะครับ ,,, อาจารย์อาจจะถามหาพ่อ หาแม่ ของเราจริงๆ ,,, หลายคนงงว่า ทำไมต้องถาม? ,,, เคสนี้ เผื่อไว้ในกรณีที่ผู้ปกครองมีความขัดข้องในการหาค่าเล่าเรียนให้เราครับ ,,, อาจารย์ก็จะถามว่า พ่อ แม่ทำอาชีพอะไร มีลูกกี่คน ติดขัดเรื่องการเงินไหม เราต้องการทุนไหม ,,, ถ้าต้องการ ให้ตอบโดยไวเลยครับ อาจารย์ก็จะทำremarkไว้ ซึ่งก็เป็นผลดีกับตัวเราเอง
ในกรณีที่เราต้องการ ทุน แต่อาจารย์ไม่ถามเรา ให้เราชิงถามเองเลยครับ ,,, เรื่องทุนการศึกษานี่ เรื่องใหญ่ อย่ากลัว อย่าอาย อาจารย์เขาพร้อมตอบอยู่แล้ว
,,, ,,, ,,,

6.ถามหาพี่

ถามหาพ่อ หาแม่ แล้วอาจจะมีถามหาพี่บ้าง แต่อันนี้ออกแนวระลึกชาตินิดนึง ,,, ถ้าใครมีพี่หรือญาติที่เรียนคณะ/สาขา นั้นๆ ตลอดจนเป็นที่รู้จักของอาจารย์ผู้สัมภาษณ์ แกก็จะถามเลยว่า เป็นน้องของ/รู้จัก…หรือเปล่า ,,, ให้รู้ไว้เลยว่า พี่หรือญาติของน้องๆ อาจจะมีจุดเด่นซักอย่างนึง ที่เป็นที่จดจำของอาจารย์ที่ถาม ,,, ส่วนจะเป็นจุดเด่นด้านดีหรือร้ายนั้น ก็ไปวัดดวงกันเอง (ha)
แต่ข้อนี้ไม่ต้องซีเรียสอะไรมากครับ ถามมา ก็ตอบไปแค่นั้นเอง
,,, ,,, ,,,

7.ถามหาอะไร?

นอกจากทั้งหมดที่ กล่าวมาแล้ว จะมีคำถามอยู่ประเภทหนึ่ง ที่เราฟังแล้วอาจจะเกิดความสงสัยว่า อาจารย์จะถามหาซอกตึกอะไรครับ? เช่น “ชื่อแปลว่าอะไร”, “ใครเป็นคนตั้งชื่อให้”, “เมื่อคืนไปกินเหล้ากับรุ่นพี่มารึเปล่า” หรือ “รุ่นพี่เลี้ยงเนื้อย่างร้านไหน”
ก็ไม่ต้องก่งก๊งหรอก ครับ คำถามเหล่านี้ ดูเหมือนจะกวนตีน แต่มันเป็นการสร้างความผ่อนคลายและความคุ้นเคยให้กับพวกน้องๆเองนั่นแหละ เพราะบางคนเข้าไปเจออาจารย์ก็เกร็งจนรูตูดขมิบไป 30 รอบก็มี เดี๋ยวจะสัมภาษณ์ไม่รู้เรื่องกันพอดี
,,, ,,, ,,
ก็คงจะพอเป็นแนวทางได้บ้างไม่มากก็น้อย (ประโยคนี้ คำนำรายงานส่งครูชัดๆ -3-) หรืออาจจะทำให้น้องที่กำลังจะได้เข้าสัมภาษณ์เร็วๆนี้ ได้สบายใจขึ้น ,,, แต่ขอเตือนก่อนว่า ทั้งหมดที่ว่ามา มันก็แค่ความเห็นของผมคนเดียวเท่านั้น อ่านพอเป็นแนวทางได้ แต่อย่าเชื่อทั้งหมด เตรียมตัวให้พร้อม เป็นตัวของตัวเอง ผ่อนคลาย แต่มั่นใจ แล้วการสอบสัมภาษณ์เข้ามหาลัย ก็จะไม่น่ากลัวอีกต่อไป
 เทคนิคการสอบสัมภาษณ์ นำไปใช้สอบติดแน่นอน  เป็นบทความแนะนำสอบสัมภาษณ์ที่ดีที่สุดใน internet ตอนนี้นะครับ มีคนอ่านมากกว่า 10000 ครั้ง ถูกเผยแพร่ใน หลายๆเว็บ

ข้อมูลจาก www.jobjobmoney.com

วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555




9 เทคนิค ทำให้สมองไบรท์ 



1. จิบน้ำบ่อย ๆ (Drink water very often) สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่ง ผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ
2. กินไขมันดี (Enjoy good Omega 3)
คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วยปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น
3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที (Meditation 12 min a day) 
หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน
4. ใส่ความตั้งใจ (Program the brain: have specific intention) การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิด ขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน
5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ (Laugh and Smile) 
ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้น ให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ
6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน (Learn new thing everyday) 
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็น โดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และ สร้างสรรค์ ไปเรื่อยๆเมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน (Forgive yourself, reduce brain stress) ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง
8. เขียนบันทึก Graceful Journal (Write graceful journal, good things inlife every day) 
ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์
9. ฝึกหายใจลึก ๆ (Deep breath) สมองใช้ออกชิเจน 20 25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยาย ใหญ่ สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 %การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม
จาก  www.jobjobmoney.com

โดย วนิษา   เรซ ผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพจาก ม.ฮาร์วาร์ด

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

การเตรียมตัวให้พร้อมก่อนไปสัมภาษณ์งาน



การเตรียมตัวให้พร้อมก่อนไปสัมภาษณ์งาน


            บทความนี้เป็นแนวทางสำหรับผู้ที่ได้รับการเรียกตัวให้ เข้าสอบสัมภาษณ์  ซึ่งอาจจะเป็นผู้ที่ผ่านการสอบข้อเขียน หรือได้รับการ คัดเลือก จากจดหมายสมัครงาน เพื่อทดสอบความรู้ ความสามารถ บุคลิกภาพ ทักษะไหวพริบ ซึ่งผู้ประกอบการจะต้อง พิจารณาผู้ที่มีความ เหมาะสมที่สุด  ดังนั้นผู้ที่เข้าสอบสัมภาษณ์ต้องเตรียมตัวให้พร้อม ซึ่งบทความนี้อาจเป็นแนวทางเพื่อพิชิตสิ่งที่หวังไว้วิธีเตรียมตัวไปสัมภาษณ์งาน,การเตรียมตัวให้พร้อมก่อนไปสัมภาษณ์งาน

 

เตรียมตัวให้พร้อมที่สุด 


               รักษาสุขภาพ ระมัดระวังเรื่องการกิน การพักผ่อน หลายคนพลาดท่าเรื่องการกินมาแล้ว เช่น ท้องเสีย  เป็นไข้  ซึ่งอาจเกิดจากความวิตกกังวล ความเครียด ฯลฯ บางคนเพื่อนฝูงมาร่วมแสดงความยินดีล่วงหน้า ฉลองล่วงหน้าหามรุ่งหามค่ำ พับเพียบไปก็เยอะนะ จะหาว่าไม่บอก  ลดความวิตกกังวล  ทบทวนความรู้  ปรึกษาผู้ที่มีประสบการณ์  เตรียมตัวเตรียมใจให้ดี 


แต่งกายอย่างไรดี      


               อันนี้สำคัญเพราะเขาจะมองคุณด้วยความละเอียดมันหมายถึงบุคลิกภาพ  และบ่งบอกว่า คุณ เป็น คนลักษณะอย่างไร  ถ้าแต่งกายดีสุด สุด ด้วยเสื้อผ้าราคาแพง  เขาอาจมองว่าคุณเป็นคนรสนิยมสูงฟุ่มเฟือย (แล้วแต่ลักษณะงานนะ ถ้าคุณไปสมัครเป็นนักร้องวัยรุ่น  ดารา หรือนายแบบหรือผู้บริหารก็เป็นอีกอย่าง )  ควรแต่งกายสุภาพสมฐานะ ใส่เสื้อเชิ๊ต กางเกงสุภาพ อย่าใส่ยีนส์นะขอร้อง  เขาจะหาว่าไม่รู้กาละเทศะ  ไม่รุ่มร่าม หรือคับเกินไป   ห้ามใส่รองเท้าแตะ เด็ดขาด   ควรใส่รองเท้าหนังสีสุภาพ ไม่มีลวดลาย  พูดง่าย ๆ แต่งตัวให้สุภาพดูดีเท่านั้น


ควรเตรียมอะไรไปบ้าง  



                ก่อนเดินทางไปสัมภาษณ์ควรติดต่อสอบถาม และดูรายละเอียดให้ชัดเจน  ว่าต้องเตรียมอะไรไปบ้างปกติจะเตรียมหลักฐานต่าง ๆ ที่สำคัญ ซึ่งเขาอาจจะขอเพิ่มเติม  ตัวอย่างผลงาน เช่น ภาพวาด ภาพถ่าย  หรืออื่น ๆ ตามลักษณะของตำแหน่งงาน  และที่จะเป็นประโยชน์สำหรับคุณมากที่สุด แต่อย่าพะรุงพะรัง  จะทำให้เสียบุคลิกภาพเปล่า ๆ
          

ควรเดินทางไปถึงที่สัมภาษณ์เมื่อใด  


          ก่อนอื่นคุณต้องมั่นใจว่าจะไปถึงที่สอบใช้เวลาเท่าใด โดยเฉพาะคนที่อยู่ต่างจังหวัด แล้วเดินทางเข้าไปสอบในกรุงเทพ พลาดมาเยอะเหมือนกัน  ต้องหาข้อมูลให้ชัดเจน  และต้องแน่ใจว่าเขานัดสัมภาษณ์ที่ใด  ถ้าไม่แน่ใจให้เดินทาง ไปดูล่วงหน้าก่อน  แต่ที่ดีที่สุดควรเดินทางไปถึงที่สัมภาษณ์ล่วงหน้าประมาณสัก 15 นาที  จะทำให้เรามีสมาธิ และมีเวลาเตรียมตัวมากขึ้น   แต่ถ้าไปถึงล่วงหน้าเป็นชั่วโมง ก็ดีแต่อาจจะทำให้คุณรอนานอาจเกิดความหงุดหงิด เสียสมาธิได้ และควรไปคนเดียว  ถ้าไม่จำเป็นอย่าพาผู้อื่นไปด้วยเพราะจะทำให้เราพะวง เขาอาจจะมองว่าคุณยังไม่เป็นผู้ใหญ่พอ


ทำอย่างไรดีขณะนั่งรอสัมภาษณ์  



          ระหว่างนั่งรอสัมภาษณ์  จงใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ที่สุด พยายาม หาข้อมูลเกี่ยวกับ หน่วยงานที่  คุณสัมภาษณ์ให้มากที่สุด เช่น  เอกสาร แผ่นพับ ตัวอย่างผลงาน  หรือสอบถามจากฝ่ายประชาสัมพันธ์ เพื่อหารายละเอียดเพิ่มเติมที่จะเป็นประโยชน์สำหรับคุณให้มากที่สุด พยายามแสดงความเป็นมิตรที่ดีด้วยรอยยิ้ม  กับผู้อื่นรวมทั้งผู้เข้าสอบด้วยกันเพื่อสร้างความประทับใจ อย่าใช้สายตาว่าเขาคือศตรูหรือคู่แข่งซึ่งมันจะไม่เป็นผลดีสำหรับคุณเลย


เมื่อถูกเรียกตัวเข้าสัมภาษณ์   


           ก่อนเข้าห้องสัมภาษณ์ลองหายใจลึก ๆ แต่อย่ามากอาจหน้ามืดก่อน  ถ้ามีประตูควร เคาะ ประตู เสียก่อน  ตามมารยาท  ยกมือวันทาด้วยท่าทางสุภาพ  ควรไหว้ประธานหรือผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุดเพียงผู้เดียวถ้านั่งอยู่หลายคน  โดยทั่วไปมัก นั่ง ตรงกลาง เรื่องนี้ ใช้ไหวพริบเองก็แล้วกัน  อย่าเพิ่งนั่งจนกว่าจะได้รับอนุญาต หรือ คำเชิญจากผู้สัมภาษณ์  กล่าวขอบคุณครับแล้วนั่งให้หัวใจเต้น  เบาลง จงมีสายตาท่าทางที่เป็นมิตร  ห้ามหยิ่ง  อันนี้แน่อยู่แล้วโดยธรรมชาติ


เมื่อได้ฟังคำถามคำแรก  


            จงตอบคำถามด้วยความมั่นใจ ฉะฉาน  ยกเว้นคุณไปสมัครเป็นนางเอกหนังเรื่องนางอาย  พูดให้เป็นธรรมชาติด้วยเสียงที่พอเหมาะอย่าค่อย หรือดังเกินไป  จงพูดเท่าที่จำเป็นอย่าคุยโม้โอ้อวด  หรือถ่อมตนมากเกินไป  จงพูดในสิ่งที่เป็นความจริงและสิ่งที่เกี่ยวข้องกับคำถามและเป็นประโยชน์ สำหรับคุณให้มากที่สุด 



ถ้าไม่เข้าใจคำถาม ?  

             อย่าเดาคำถามอย่างเด็ดขาดควรกล่าวคำขอโทษและขอทบทวนคำถามอีกครั้งให้แน่ใจ แต่อย่าไม่เข้าใจบ่อยมาก ไม่ดี  ถ้าคุณเข้าใจคำถามผิด  แล้วเขาทักมากรุณากล่าวคำขอโทษแล้วตอบใหม่อย่ายืนยันคำพูดเดิม หรือย่าเถียงเด็ดขาด อาจทำให้การสัมภาษณ์ยุติลง



ถ้าพบกับคำถามที่ตอบไม่ได้  


              จงอย่าอ้างว่าไม่ได้เรียนมา  และอย่าแสดงกริยาหงุดหงิดอารมณ์เสีย  เขาอาจจะอยากลองดูไหวพริบการแก้ปัญหาของคุณ  อันนี้อย่าตอบมั่วเด็ดขาด ยอมรับซะว่าไม่ทราบจริง ๆ และจะไปสืบค้นหาคำตอบภายหลัง ซึ่งแสดงว่าคุณเป็นผู้ใฝ่รู้ (ต้องทำจริง ๆ นะ) อย่าขอเปลี่ยนคำถามหรือขอผู้ช่วยเพราะไม่ใช่เกมโชว์


คำถามที่ลำบากใจ  


              นอกจากคำถามที่ตอบไม่ได้แล้ว  ยังอาจเจอคำถามที่ลำบากใจ ทำใจเย็น ๆ ไว้  เช่น  คุณต้องการเงินเดือนเท่าไหร่ อันนี้อาจพบแน่  ถ้าตอบมากไปกลัวเขาไม่จ้าง  ถ้าตอบน้อยไปกลัวเขาให้แค่นั้น แต่โดยปกติเขาจะมีเกณฑ์อยู่แล้ว  เพียงแต่อยากดูความคาดหวังของเรา  จงหาข้อมูลก่อนว่าที่นี่เขาจ้างอย่างไร ตำแหน่งคุณเริ่มต้นได้เท่าไหร่ แต่ถ้าไม่ทราบจริง ๆ ก็ยึดถือการจ้างตามอัตราเงินเดือนที่ กพ. กำหนด  แต่อาจจะต้องคำนึงถึงความยากง่ายของงานด้วย  จงใช้ไหวพริบของคุณตอบให้ดีที่สุด  อย่าพูดในสิ่งที่ทำไม่ได้ และไม่มั่นใจอาจจะสร้างปัญหาได้ในภายหลัง


การใช้วาจา 

การเตรียมตัวให้พร้อมก่อนไปสัมภาษณ์งาน, วิธีเตรียมตัวไปสัมภาษณ์งาน 

              ในระหว่างสัมภาษณ์ ควรใช้คำพูดที่ฉะฉานไม่ก้าวร้าว  อย่าพูดคำพูดที่ไม่แน่ใจบ่อย ๆ หรือ ภาษาที่เป็นกระแสนิยม เช่น ใช่มั้งคะ !  แบบว่า!   ว้าวดีจังเลย!  จ๊าบจริงครับ!  เจ๋งเลยครับ!  ระวังดี ๆ นะโดยเฉพาะคนที่พูดบ่อย ๆ จนเป็นนิสัยอาจจะหลุดออกมาได้  มือขอให้อยู่เป็นสุขอย่าคุ้ยแคะแกะเกา  ระวังให้ดีให้มันอยู่ในที่ที่ควรอยู่ จงใช้เท่าที่จำเป็น  ถ้าเป็นการเปลี่ยนงานอย่านินทาว่าร้ายที่ทำงานเดิมของคุณเป็นอันขาด จงชี้แจงสิ่งที่เป็นเหตุผลในการเปลี่ยนงานตามความเป็นจริง (ในสิ่งที่เปิดเผยได้)



เมื่อการสัมภาษณ์สิ้นสุดลง 


               เป็นธรรมดาครับ ก็ต้องกล่าวขอบคุณที่ให้โอกาส แม้ว่าการสัมภาษณ์อาจจะไม่เป็นที่พอใจคุณเท่าใดนัก เช่น อาจตอบคำถามไม่ดี  หรือมีข้อผิดพลาด พยายามข่มใจไว้ ไหว้งาม ๆ แล้วเดินออกไป  อย่าลืมเก็บของเข้าที่ให้เรียบร้อย  เช่น โต๊ะ เก้าอี้


หนังสือขอบคุณสักฉบับก็ดี

การเตรียมตัวให้พร้อมก่อนไปสัมภาษณ์งาน, วิธีเตรียมตัวไปสัมภาษณ์งาน 
              เมื่อเขาให้โอกาสคุณแล้วอาจจะมีหนังสือขอบคุณที่ให้โอกาสเข้าพบ ถึงแม้ว่าจะพลาด หวังก็ตามซึ่ง จะสร้าง ความประทับใจทั้ง 2 ฝ่าย  อย่าลืมว่าโอกาสหน้ายังมีอีกที่เราอาจต้องมาสมัครที่นี่อีก  ถ้าคุณได้งานทำก็น่าดีใจและตั้งใจทำให้เต็มความสามารถ ที่สำคัญคือ น้ำใจ เอื้ออาทร  เสียสละ  แต่ถ้าพลาดหวังนั่นไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีความสามารถ เขาอาจอยากได้เราแต่มีคนที่เหมาะสมกว่า หรือ ความสามารถ ของเราไม่ตรงกับความต้องการของเขาก็ได้




ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก
มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคราม



วิธีการสอบสัมภาษณ์งาน ให้ได้งาน




การเข้าสัมภาษณ์งาน  


วิธีการสอบสัมภาษณ์งาน ให้ได้งาน


          การเข้าสัมภาษณ์งาน การทำให้ตัวเองดูดีสะอาดแต่งตัวเรียบร้อยก็ถือว่าเราผ่านเข้าไปครึ่งหนี่งแล้วส่วนที่เหลือก็คือว่าบุคลิกเรา  ความเป็นตัวเองของเรา  ตัวตนจริงๆของเราว่าเรา   ว่าเรามีไหวพริบความเหมาะสมกับตำแหน่งที่เขาต้องการหรือไม่  และสามารถอยู่กับเพื่อนร่วมงานได้ไหม  อันนี้คงเป็นสิ่งแรกที่เราเตรียมตัวก่อนมาสัมภาษณ์งาน
วิธีการสอบสัมภาษณ์งานให้ได้งาน,หาวิธีการสอบสัมภาษณ์งานให้ได้งาน


จะเริ่มจากการถามประวัติส่วนตัว


        การสอบสัมภาษณ์ของสถานที่ทำงานต่างๆ  ซึ่งการเล่าประวัติส่วนตัว ควรมีความกระชับ และเข้าใจได้ในครั้งแรกที่ฟัง อย่าอธิบายซับซ้อนมากเกินไป


ความถนัด



        หรือเรื่องที่เราถนัด สิ่งนี้จะนำไปตัดสินว่าคุณควรจะเข้าทำงานในตำแหน่งใด ควรเลือกในสิ่งที่ถนัดที่สุดนะครับ เพราะในเวลาทำงานจริงเราจะได้ไม่มีปัญหากับงานที่ได้รับมอบหมาย


การทำกิจกรรม 



       หรือการร่วมมือกับหน่วยงานใดๆ ก็ตาม ในส่วนนี้จะบอกว่าในระหว่างที่เรียนคุณมีการทำกิจกรรมร่วมกับใครมาบ้าง อย่างน้อยเขาจะทราบว่าคุณสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้


ผลงานที่คุณเคยทำ 



       เป็นตัวเลือกหนึ่งที่จะใช้ในการวัดความสามารถ แต่ถึงไม่มีก็ใช่ว่าเราจะเสียโอกาสทำงานนะครับ เป็นปัจจัยเสริมอีกตัวเลือกหนึ่ง


ถามเกี่ยวกับโครงการที่ทำเพื่อจบการศึกษา หรือวิทยานิพนธ์



หัวข้ออื่นๆ ที่นอกเหนือจากที่กล่าวมาวิธีการสอบสัมภาษณ์งานให้ได้งาน,หาวิธีการสอบสัมภาษณ์งานให้ได้งาน


เทคนิคการสอบสัมภาษณ์










ฝ่าด่าน 10 คำถามโหด สัมภาษณ์งาน


เคยไหมที่รู้สึกตื่นเต้น ประหม่า และกลัวแบบไม่มีสาเหตุเมื่อถึงเวลาสัมภาษณ์งาน แถมบ่อยครั้งที่เจอคำถามง่ายๆ แต่ไม่รู้จะตอบอย่างไรคำถามโหดการสัมภาษณ์งาน,เทคนิคการสอบสัมภาษณ์,วิธีเตรียมตัวสัมภาษณ์งาน


3 ด่านหิน ที่เตรียมฝึกวิทยายุทธ์ไปได้เลย


1.   ช่วยเล่าเกี่ยวกับตัวคุณให้เราฟัง

Do
ใช้เวลาเพียง 2-3 นาทีสั้นๆ แบบกระชับได้ใจความ บอกเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงเป็นผู้สมัครที่ดีที่สุดสำหรับตำแหน่งนี้ รวมถึงยกตัวอย่างให้ฟังเพื่อช่วยอธิบายและเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเรา เช่น “หลังจากเรียนจบด้านบัญชีและทำงานที่บริษัทตรวจสอบบัญชีมา 5 ปี ทำให้เป็นคนทำงานเร็วและละเอียดรอบคอบ เพราะการตรวจสอบบัญชีแต่ละครั้งมีระยะเวลากำหนดชัดเจนว่ากี่วันหรือกี่ สัปดาห์ ทั้งยังฝึกความเป็นผู้นำ เพราะต้องดูแลน้องในทีมที่ออกตรวจงานด้วยกัน รวมถึงแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี สิ่งเหล่านี้ทำให้ดิฉันได้รับมอบหมายดูแลงานโปรเจคใหญ่ๆ อยู่เสมอ”
Don’t
การเล่าทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเอง ตั้งแต่จบประถม มัธยม เข้ามหาลัย จนทำงาน แต่ไม่มีจุดเด่นอะไรเพียงพอที่จะทำให้ผู้สัมภาษณ์รู้สึกสนใจในตัวคุณ

2.   ทำไมคุณถึงคิดว่าเหมาะกับงานนี้

Do
โอกาสมาถึงแล้ว อย่ากลัวที่จะพูด อาจจะเริ่มจากประสบการณ์และความสามารถที่เคยผ่านมา อันเป็นสาเหตุทำให้คุณเหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งนี้ แล้วต่อด้วยเหตุผล ตัวอย่าง กรณีศึกษา สิ่งที่เป็นจุดเด่นและแตกต่างจากผู้สมัครคนอื่น
กรณีที่เพิ่งจบการศึกษาหมาดๆ ถ้าสมัยเรียนทำกิจกรรมมาเยอะ เช่น ออกค่าย ฝึกงาน โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน ฯลฯ อย่าลังเลที่จะบอกเล่าว่ากิจกรรมเหล่านั้น ทำให้ตัวเองเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นง่าย รู้จักปรับตัว ยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น และเรียนรู้เร็ว เป็นต้น
หากตกที่นั่งเด็กเรียน ไม่ค่อยสนใจกิจกรรม ให้ตอบว่าเป็นคนที่ทุ่มเทกับเรื่องที่ได้รับผิดชอบ เช่น เรื่องเรียนหรือรายงานกลุ่ม อาจยกเกรดเฉลี่ยเลขสวยๆ มาเป็นตัวอย่าง หรือวิธีการเลือกวิชาเรียน ที่แสดงให้เห็นว่ามีการเตรียมตัว วางแผนการเรียนมาเป็นอย่างดี
Don’t
การตอบคำถามสั้นๆ เช่น “ด้วยประสบการณ์ทำงาน 2 ปีที่ผ่านมา ผมเชื่อว่าสามารถทำงานนี้ได้” แล้วจบทันที ในกรณีนี้ คุณอาจจบเห่ เพราะไม่มีเหตุผลและตัวอย่างที่จะทำให้ผู้สัมภาษณ์เชื่อและมั่นใจในตัวคุณ

3.   ตามความเข้าใจของคุณ คิดว่าตำแหน่งนี้ต้องรับผิดชอบงานอะไรบ้าง

Do
ทำการบ้านก่อนมาสัมภาษณ์ด้วยการอ่านรายละเอียดของงานและคุณสมบัติของผู้ สมัครที่ทางบริษัทต้องการ ทำความเข้าใจกับมัน ตอบให้สั้นและกระชับใจความ สิ่งสำคัญก่อนตอบต้องมั่นใจว่าเข้าใจ ถ้าไม่แน่ใจส่วนไหนไม่ต้องกลัวที่จะถาม อาจตั้งคำถามกลับในทำนองว่า เข้าใจตำแหน่งงาน แต่ไม่แน่ใจเกี่ยวกับข้อมูลกลุ่มลูกค้า และผลิตภัณฑ์มากนัก อยากให้ช่วยอธิบายให้เข้าใจในเบื้องต้น
Don’t
ถ้าไม่รู้ อย่าพยายามตอบ เพราะถ้าตอบผิด นั่นหมายความว่าคุณไม่ได้ทำการบ้านมา ไม่ได้ให้ความสนใจกับงานนี้ แถมยังมั่วอีกต่างหาก
3 ด่านอรหันต์มาได้ ที่เหลือก็ไม่ยากเกินความสามารถ

4.   คุณรู้อะไรเกี่ยวกับบริษัทเราบ้าง

Do
ก่อนมาสัมภาษณ์งาน จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทราบและเข้าใจข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับองค์กรที่สมัคร เช่น ผลิตภัณฑ์ กลุ่มลูกค้า คู่แข่ง ภาพลักษณ์องค์กร ที่มาและประวัติขององค์กร ฯลฯ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า คุณได้ทำการบ้านมา และให้ความสนใจกับองค์กรอย่างแท้จริง อย่าลืมย้ำตอนท้ายด้วยว่า หลังจากที่ศึกษาเกี่ยวกับองค์กร ทำให้เรามีความสนใจที่อยากจะทราบเกี่ยวกับองค์กรเพิ่มเติม
Don’t
การตอบแบบมั่นใจในตัวเองจนเกินไป หรือคำตอบที่สร้างภาพพจน์ไม่ดีให้กับตัวเอง เช่น “ทราบมาว่าที่นี่กำลังขาดผู้จัดการฝ่ายการตลาด ด้วยประสบการณ์งาน 3 ปีในด้านนี้ ทำให้คิดว่าสามารถแก้ปัญหานี้ได้” คำตอบอย่างนี้นอกจากไม่สร้างทัศนคติที่ดีขององค์กรให้กับตัวเองแล้ว ยังเป็นการโอ้อวดตัวเองเกินไป

5.   อะไรคือจุดมุ่งหมายระยะยาวในการทำงานของคุณ

Do
พูดถึงสิ่งที่อยากทำในอนาคต และต้องบอกวิธีที่จะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ ซึ่งควรจะเกี่ยวข้องกับงานที่สัมภาษณ์อยู่ เช่น อีก 5 ปีข้างหน้าอยากเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดที่เต็มไปด้วยศักยภาพและความสามารถ ในการพัฒนาพนักงานและองค์กรให้มีประสิทธิภาพ การที่จะถึงจุดนั้นได้ต้องมีการเตรียมตัวเป็นอย่างดี เช่น การได้มีโอกาสทำงานที่บริษัทนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งในการเตรียมตัวสำหรับอนาคต และอาจเพิ่มเติมตัวอย่าง เช่น วิธีการทำงานของตน เป็นต้น
Don’t
การตอบในสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานที่สมัครอยู่ (ถึงแม้จะเป็นความจริง) เพราะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ เช่น อยากเปิดร้านอาหารในอีก 10 ปีข้างหน้า ถ้าตอบเช่นนั้น อาจโดนถามต่อว่าแล้วมาสมัครงานที่นี่ทำไม

6.  ถ้าได้งานนี้ คุณคิดว่าจะทำงานที่นี่นานเท่าไหร่

Do
ให้มุ่งประเด็นไปที่ความทุ่มเทของตัวเองและความท้าทายของงาน ด้วยการบอกว่าตราบใดที่งานมีความยากและท้าทาย ก็จะขอจะทุ่มเทความสามารถของตัวเองให้เต็มที่เพื่อสร้างคุณประโยชน์ให้กับ องค์กร
Don’t
บอกแผนการหรือระยะเวลา (ซึ่งเป็นความจริง) เช่น มีแผนไปเรียนต่ออีก 2-3 ปีข้างหน้า หรือ ทางบ้านมีแผนให้ไปช่วยธุรกิจที่บ้าน

7.   อะไรคือจุดอ่อนของคุณ

Do
ควรเลือกจุดอ่อนที่เป็นความจริงและกำลังปรับปรุงหรือพัฒนาในขณะนี้ ที่สำคัญควรบอกผลลัพธ์หลังการปรับปรุงด้วย เช่น ภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง ซึ่งตอนนี้กำลังเรียนภาษาอังกฤษอยู่ เรียนมานานเท่าไหร่ ที่ไหน และผลการเรียนเป็นอย่างไรบ้าง
Don’t
มีหลายคนเคยบอกว่าให้เปลี่ยนจุดแข็งให้เป็นจุดอ่อน เช่น เป็นคนทำงานหนักมากๆ ไม่เสร็จไม่กลับ อาจจะฟังดูดี แต่คุณกำลังทำลายตัวเอง เพราะปัจจุบันนี้การรู้จักจัดสรรเวลา (work life balance) เป็นประเด็นสำคัญของคุณภาพชีวิต อีกอย่างคุณกำลังโกหกเพื่อให้ดูดี แถมตอบผิดประเด็นอีกต่างหาก

8.   ทำไมคุณถึงลาออกจากงานเก่าคำถามโหดการสัมภาษณ์งาน,เทคนิคการสอบสัมภาษณ์,วิธีเตรียมตัวสัมภาษณ์งาน

Do

ตอบความจริงให้มากที่สุด แต่สั้นกระชับใจความ ไม่จำเป็นต้องตอบทั้งหมดถ้าความจริงมันเลวร้ายเหลือเกิน อย่าลืมว่าผู้สัมภาษณ์อาจขออนุญาตติดต่อบุคคลอ้างอิงเพื่อทำการตรวจสอบ ข้อมูลเหล่านั้น
Don’t
ควรหลีกเลี่ยงการวิจารณ์ที่ทำงานและนายเก่า เพราะเหล่านี้จะทำให้ภาพลักษณ์ของคุณดูแย่ และนั่นหมายถึงความกล้าที่จะวิจารณ์บริษัทต่อๆ ไปที่คุณร่วมงานด้วย

9.   อะไรคือสิ่งที่คุณชอบและไม่ชอบในงานเก่า (หรืองานที่กำลังทำอยู่)

Do
ควรบอกสิ่งที่ชอบมากกว่าสิ่งที่ไม่ชอบ และให้คำอธิบายรวมถึงเหตุผลว่าทำไมเราจึงคิดเช่นนั้น
Don’t
บอกในสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องงานหรืออ้างอิงถึงบุคคล เพราะนั่นหมายถึงคุณกำลังวิจารณ์คนอื่น ไม่จำเป็นต้องเล่าทุกอย่างที่แย่ๆ เกี่ยวกับงาน เพราะไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา

10.   อะไรคือสิ่งที่คุณประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิต

Do
ควรจะเป็นเรื่องที่รู้สึกภูมิใจที่สุดในช่วง 1-2 ปีของการทำงาน คุณอาจพูดถึงการเลื่อนขั้น ปรับตำแหน่งในการทำงาน หรือตลอดระยะเวลาที่ทำงานมามีแต่ความราบรื่นไม่เคยมีปัญหากับลูกค้า
หากคุณมีความสำเร็จชัดเจน เช่น สามารถทำยอดการขายได้ทะลุเป้า 200% หรือ สามารถลดต้นทุนการผลิตได้ 25% ให้เล่าที่มาของเรื่องนั้น วิธี แนวดำเนินการ ผลลัพธ์ ตลอดจนอุปสรรคที่เกิดขึ้น รวมถึงวิธีการแก้ปัญหา
ถ้าเป็นผู้สมัครที่เพิ่งจบการศึกษาหมาดๆ อาจจะพูดถึงเกรดเฉลี่ย หรือความภาคภูมิใจที่สามารถสอบเข้ามหาลัยที่มีชื่อเสียงได้

Don’t
การแต่งเรื่องขึ้นเองหรือพูดเกินจริงกว่าสิ่งที่ได้ทำ ส่งผลให้วิธีการเล่าแตกต่างไป ซึ่งผู้สัมภาษณ์ที่มีความเชี่ยวชาญ จะสามารถตั้งคำถามต้อนจนจับได้ว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น

 ทำไงดี เจอเจ้านายต่างชาติ


บริษัทญี่ปุ่น อยาก เห็นว่าที่พนักงานที่มีความนิ่ง อดทน อ่อนน้อมถ่อมตน แต่มีความมั่นใจในตัวเอง พูดจาไม่เยิ่นเย้อ สั้น กระชับ และหากสื่อสารภาษาญี่ปุ่นได้ รับรองได้เปรียบกว่าเห็นๆ
บริษัทฝรั่ง (International Firms) ส่วน ใหญ่อยากได้เด็กที่มีความมั่นใจ กล้าพูดกล้าคิด ไฟแรง ทุ่มเท แต่ก็มีชีวิตด้านอื่นด้วยนะ อย่างเช่น มีงานอดิเรกทำ มีเที่ยวเล่นบ้างแต่ก็ทำงาน อีกอย่างที่สำคัญเลย บุคลิกภาพ ต้องดูมั่นใจ ดูคล่อง ฉะฉาน พูดภาษาอังกฤษได้
 Guru Tips
- บริษัทบางแห่ง คำถามเหล่านี้จะถูกถามเป็นภาษาอังกฤษ ดังนั้นถ้าจะให้ดี ควรฝึกตอบทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
- ก่อนเข้าสู่ด่านอรหันต์ปราบเซียน ควรฝึกซ้อมหน้ากระจกก่อน เพื่อตรวจบุคลิกภาพ ที่สำคัญต้องมี eye contact หรือสบตาผู้สัมภาษณ์ อย่าหลบตาหรือมองเพดานเวลาสัมภาษณ์ แม้กระทั่งการนั่งเท้าคางหรือเท้าโต๊ะ ก็เป็นการทำให้คะแนนบุคลิกภาพลดลงอย่างน่าใจหาย
คำถามโหดการสัมภาษณ์งาน,เทคนิคการสอบสัมภาษณ์,วิธีเตรียมตัวสัมภาษณ์งาน

เทคนิคพิชิตข้อสอบ


เคล็ดลับทำข้อสอบผ่าน






เพื่อนลองเอาไปใช้ดูน่ะ

 เทคนิคพิชิตข้อสอบ

หาเทคนิคพิชิตข้อสอบ, เคล็ดลับทำข้อสอบผ่าน, หาเคล็ดลับทำข้อสอบผ่าน

1. อ่านหนังสือเตรียมตัวสอบแต่เนิ่นๆ


หากว่าท่านมีเวลามากพอที่จะอ่านหนังสือได้ ผมว่าก็อ่านไปเถอะ
ข้อดี       
1.ได้ความรู้เต็มๆที่จะไปสอบแบบไม่ตกหล่น และมีรายละเอียดที่จะใช้สอบให้ตรงกว่า
หนังสือจากการเรียนกวดวิชาหรือหนังสือติวซะอีก(เช่น วิชาชีวะ หรือสังคม)
2.จำได้นาน
ข้อเสีย   
1.เสียเวลาสุดๆ หากมีเวลาไม่พออย่าทำเด็ดขาด เอาเวลาไปทำอย่างอื่นจะดีกว่า
2.ไม่เหมาะกับคนที่มีความอดทนน้อยและมีสิ่งรบกวนเป็นอยู่บรอเวณใกล้เคียง(เช่น การ์ตูนอินเตอร์เน็ท และทีวี)
เพราะจะทำให้การอ่านไม่ต่อเนื่องเสียสมาธิขณะจำและทำให้จำพลาดได้

2. จับใจความสำคัญด้วยปากกาสี


วิธีนี้เห็นเพื่อนๆหลายคนทำกันบ่อยๆ เน้นจุดสำคัญเพื่อเก็บไว้อ่านก่อนสอบ (ถ้าทำได้ระหว่างเรียนด้วยจะดีมาก)

ข้อดี     
1.ไม่เสียเวลาในตอนอ่านก่อนสอบ
2.ไม่ต้องจำเยอะด้วย
ข้อเสีย 
1.หากที่เน้นไว้ไม่ตรงกับที่สอบก็จบเห่นะสิ
2.บางคนเสียเวลามากกับการเปลี่ยนปากกาสีไปๆมาๆ ทำให้ไม่มีสมาธิในการเรียนนะ(ระวังไว้)

3. ทำ shortnote


ไว้ท่องเวลาว่างจะดีแค่ไหนหาก สามารถเอาบทเรียนไปอ่านระหว่างเดินทางกลับบ้านได้และShortnoteที่ทำไว้เก็บไว้
อ่านก่อนสอบได้(ใช้ได้ดีกับวิชาท่องจำ)

ข้อดี    
1.ขนาดเล็กพกพาสะดวก(ก็บอกแล้วว่าSHORT note หากใครย่อมายาว ก็ไปย่อใหม่ซะ)
2.ไม่เสียเวลาในการอ่านสอบ
ข้อเสีย
1.เก็บรายละเอียดได้ไม่ดี วิชาไหนที่ออกละเอียดสุดๆจะใช้วิธีนี้ไม่ค่อยได้ผล
2.ต้องทำเก็บไว้ล่วงหน้าก่อนสอบซัก1-2อาทิตย์นะ ไม่งั้นย่อเสร็จไม่ทันก่อนสอบแน่

4. ทำ Mind Mapping


ซะอย่างที่พี่หนูดีบอกไว้ Minยในเรื่องคิดเป็นระบบเป็นเรื่องราวนึกแค่หัวข้อก็สามารถโยงเรื่องราว
รายละเอียดภายในได้ (พวกโอลิมปิกชีวะก็ยังใช้วิธีนี้

ข้อดี        
1.จำรายละเอียดได้เยอะ จำแบบเป็นเรื่องเป็นราวได้ดี สามารถเชื่อมเหตุการณ์หลายๆเรื่องเป็นเรื่อง
เดียวกันได้(เหมาะกับวิชาชีวะและประวัติศาสตร์)
2.ไม่ต้องอ่านหนังสือเยอะด้วย
ข้อเสีย   
คนส่วนมากมักจะทำกันไม่เป็น ชอบหยิบจุดที่ไม่สำคัญมาใส่MindMapทำให้วิธีการนี้ไม่ได้ผลเท่าที่ควร

5. ทำแบบฝึกหัดบ้าง


อย่างวิชาคำนวณพวกเลขหรือฟิสิกส์ อ่านหนังสือให้ตายถ้าไม่ทำแบบฝึกหัดก็ทำไม่ได้หรอกหลายสถานที่กวดวิชานั้น
ยังมีบังคับเด็กทำแบบฝึกหัดได้เลย(อย่าง ‘จารย์ อรรณพ กับ’จารย์ อุ๊ คอสเอนท์ แค่เฉลยแบบฝึกหัดก็ปาเข้าได้2ชั่วโมงครึ่งเข้าไปแล้ว – -”)

ข้อดี     
1.ทำให้เข้าใจวิธีคิด คำนวณ ได้ หากทำบ่อยๆแล้ว ไม่ว่าข้อสอบจะมาแบบไหนก็ทำได้หมดเชื่อสิ
2.เหมาะกับคนที่บ่นว่าหัวไม่ดี ไม่เข้าใจ เนื่องจากเป็นพวกไม่ทำการบ้านเลย ก็ขอให้ทำซะจะช่วยได้เยอะ
3.ทำให้รู้แนวข้อสอบที่เคยออกได้ด้วย
ข้อเสีย   ใช้กับข้อสอบอัตนัยวิชาท่องจำไม่ค่อยได้ผล

6. แลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อน

หากไม่เข้าใจก็ต้องลองถามตอบกับเพื่อนที่รู้ดู จะทำให้เข้าใจได้มากขึ้น

ข้อดี     
1.ช่วยแก้ความเข้าใจผิดของเราได้
2.อาจได้ข้อมูลที่เราตกหล่นเวลาอ่านด้วยตัวเองหรืออาจได้ข้อมูลเสริมจากแหล่งอื่นที่เราไม่รู้
(อาจารย์บางท่านบอกข้อสอบแต่ละห้องไม่เหมือนกัน รวมๆกันก็ได้มาหลายคะแนนแล้ว)
ข้อเสีย 
 ถ้าเจอเพื่อนแล้วชวนไปเที่ยว ไปเตร็ดเตร่จนไม่เป็นอันอ่านหนังสือสอบก็ช่วยไม่ได้ฮะเพราะฉะนั้น
โปรดเลือกเพื่อนที่พอจะช่วยเราอ่านหนังสือด้วยได้นะ

7. คิดวิธีช่วยจำสิ


เป็นวิธีที่หลายๆคนลืมคิดถึง เช่นการทำศัพท์เฉพาะบางตัวที่จำยากให้ง่ายขึ้นเช่น
โรแมนติก=ยุคที่ใช้อารมณ์>เหตุผล(วิชาประวัติศาสตร์) ก็ให้นึกถึงเรื่องนิยายรักพวกเจ้าชายเจ้าหญิง
อะไรประมาณนั้น หรือจะนำไปเทียบกับการ์ตูน ก็จะนึกถึง “บากิ”(=ไร้เหตุผล – -”)หรือในวิชาฟิสิกส์
ถ้านั่งท่องจำ ชนิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไม่ได้ก็ลองนึกอักษรย่อมาต่อๆกันเป็นคำใหม่เช่นRoMio I Love U eXtra Great
(เรียงดังนี้ คลื่นวิทยุ(radio) ,Micro wave,Light,Ultraviolet,รังสีX,รังสีแกรมม่า) เป็นต้น

ข้อดี      
จำง่าย ไม่เปลืองMemoryในสมอง
ข้อเสีย  
อย่าใช้เลยถ้าไม่เข้าตาจนจริงๆ(เช่นจะสอบวันพรุ่งนี้แล้วเพิ่งมาอ่าน)
หาเทคนิคพิชิตข้อสอบ, เคล็ดลับทำข้อสอบผ่าน, หาเคล็ดลับทำข้อสอบผ่าน